Stir Fry “อาหารจานผัด” ขึ้นชื่อว่าเร็ว ร้อน อร่อยและเอเซียสุดๆ
ต้องเข้าใจก่อนว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศเกิดใหม่ เจ้าของแผ่นดินต้นสาแหรกคือชาวอะบอริจิน ส่วนเชื้อชาติอื่นๆคือผู้อพยพย้ายถิ่นเข้ามา ฉะนั้นพลเมืองจึงหลากเชื้อชาติ สีผิว ความเชื่อและศาสนา คนเอเซียรุ่นแรกที่อพยพเข้ามาคือคนจีน มาเป็นแรงงานทำเหมืองทอง รุ่นสองคือชาวเวียดนามและกัมพูชาที่หนีสงครามอินโดจีน นอกนั้นคือ มาแต่งงาน มาเรียนต่อ มาทำธุรกิจ หรือหนีปัญหา หนีความยากจน หนีสงคราม บลาๆๆๆๆๆ หวังมาสร้างอนาคตใหม่ในออสเตรเลีย
ออสเตรเลียจึงประกาศตัวเองเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม มีทั้งกฏหมายและนโยบายสนับสนุนแนวคิดนี้อย่างชัดเจน แต่คำถามคือ กฏมายและนโยบายเหล่านั้น มันมีปัญหามั้ย? หรือจะพูดให้บวกขึ้นมาหน่อยคือ มันสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้มั้ย? จึงเป็นที่มาของ Stir fry ละครถกแถลง เรื่องแรกในออสเตรเลีย เพื่อเลาะปมสังคมพหุวัฒนธรรมออกมาถกกัน
ละครเปิดเรื่องที่งานเทศกาลอาหารและวัฒนธรรมอาเซียน มีการแสดงฟ้อนรำโดยอ้อยและดาว สองแม่ลูกชาวไทย มีดนตรีชวาบรรเลงโดย ญานติ ศิลปินอินโดฯ มีผู้มาร่วมงานมากมาย(ผู้ชม) รวมถึงสตีฟหนุ่มใหญ่ชาวออสซี่ผู้หลงรักเอเซียและมโนฮาร่า สาวนักเคลื่อนไหวเรื่อง people of color จุดกระทบเรื่องเริ่มขึ้น.. เมื่อสตีฟปรบมือชื่นชมการแสดงและหันไปคุยกับมโนฮาร่าว่า” ผมภูมิใจในออสเตรเลียมาก เรามีสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง โดดเด่นแถวหน้าของโลก ” แต่เธอกลับตอบว่า “ฉันเบื่อคำว่า พหุวัฒนธรรม มันเป็นแค่วาทกรรม เอาเข้าจริงคนขาวก็มีอภิสิทธิ์เหนือเชื้อชาติอื่น” จากงานรื่นเริงก็พลิกไปสู่งานเครียด….. โดยละครค่อยๆทะยอยทิ้งปม ทิ้งคำถามให้ค้างใจคนดู เช่น เรื่องความตื้นเขินของพหุวัฒนธรรม ความน่ารำคาญของพวก PC คนเอเซียที่ถูกมองว่าเอาแต่ทำมาหากินไม่สนใจการเมืองและชอบโกงภาษี การเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ อภิสิทธ์ชนคนขาวที่กีดกันไม่ให้คนเชื้อชาติอื่นได้รับโอกาส ฯลฯ ปมเหล่านี้ถูกหยอด ถูกโยน ถูกยั่วไว้ในละคร และสุดท้ายขมวดปมเขม็งเกลียวทั้งหมดแล้วโยนโครม!!ให้คนดูถกกัน
จำได้ว่า หลังละครจบ คนดูยกมือแสดงความคิดเห็นกันพรึ่บ!! ต้องจัดคิวกันรัวๆ เห็นได้ชัดว่าเขามีวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์ เวลาแสดงความคิดเห็นจะมีการอ้างอิงข้อมูล หลักฐาน ไม่มโนเอาเอง เวลาถกกันก็เผ็ดร้อนสุดๆแต่ไม่ฟูมฟาย ที่สำคัญบ้านเขาไม่มีปัญหาเรื่อง free speech มันถกกันได้ลึกถึงต้นตอปัญหาไม่ใช่บ้านเราที่ถกลึกลงไปจนเจอ(ต้น)”ตอ” ก็จำต้องรูดซิปปากเซนเซอร์ตัวเอง แต่วัฒนธรรมเชิงปัญญาแบบนี้ ไม่มีใครประทานให้นะคะๆ อยากได้ก็ต้องลงทุนปลูกสร้างกันมโหฬาร ที่ออสเตรเลียมันผ่านการปลูกฝังให้อยู่ในระบบครอบครัว ระบบการศึกษา ระบบการเมือง และสารพัดระบบในสังคม มันถึงได้แตกดอกออกผล แตกปัญญาให้สังคมได้เก็บเกี่ยว
หน้าที่ของละครถกแถลงในวันนั้น ก็เลยไม่ต้องเข็นให้คนดูพูด(แบบบ้านเรา) ไม่ต้องอัดข้อมูลเพราะเขาเป็นสังคมการอ่านและวิพากษ์วิจารณ์ ตัวละครก็แค่พยายามบาลานซ์ให้ได้ยินเสียงทุกฝ่ายบนเวที เพราะหลักการของละครถกแถลงไม่ใช่การเอาชนะ แต่คือการได้ฟังเสียงของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน
ละครถกแถลงค่อยๆเสริฟขึ้นโต๊ะที่ออสเตรเลีย หลายคนอาจแปร่งลิ้นเพราะรสชาติยังใหม่ แต่บางคนเริ่มติดใจ ผู้ชมคนหนึ่งบอกว่า ละครถกแถลงเป็นปฏิบัติการทางสังคมที่น่าสนใจในศตวรรษนี้ ศตวรรษที่ผู้คนแบ่งแยกและหันหลังให้กัน
ละครถกแถลงค่อยๆเสริฟขึ้นโต๊ะที่ออสเตรเลีย หลายคนอาจแปร่งลิ้นเพราะรสชาติยังใหม่ แต่บางคนเริ่มติดใจ ผู้ชมคนหนึ่งบอกว่า ละครถกแถลงเป็นปฏิบัติการทางสังคมที่น่าสนใจในศตวรรษนี้ ศตวรรษที่ผู้คนแบ่งแยกและหันหลังให้กัน
Free Theatre เป็นกลุ่มละครที่ก่อตั้งโดย ดร.ริชาร์ด บาร์เบอร์ และ คุณจ๋อน สมาชิกมะขามป้อมสาขาออสเตรเลีย ผู้พัฒนา”ละครถกแถลง Dialogue Theatre” ละครเพื่อสร้างพื้นที่กลางของวงสนทนา เพื่อสร้างเสริมความเข้าใจและคลี่คลายความขัดแย้ง ที่ผ่านมามีผลงาน “ละครถกแถลง” ได้จัดแสดงและทำหน้าที่สร้างบทสนทนาไป 5 เรื่อง ทั้งในประเทศไทยและออสเตรเลีย ในประเด็นทางสังคมที่หลากหลาย ทั้งการเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐานในการรักษาสิทธิมนุษยชน ชาติพันธุ์ ประชาธิปไตย ความขัดแย้งทางการเมือง ชนกลุ่มน้อย และอีกหลากหลายประเด็น