ชีวิตของเด็กต่างจังหวัดอย่างผมมีเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจหลายอย่าง ทั้งที่เคยสัมผัสและยังไม่เคยสัมผัสไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองหรือนอกเมืองก็เคยไปลองสัมผัสประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมาก็ไม่น้อย ทว่าใครจะคิดว่าจังหวัดที่ไม่ได้ใหญ่มากและดูไม่มีอะไรน่าสนใจมากมายอย่างนครพนม กลับมีสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นได้ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม วิถีชีวิตของชุมชมชาวคริสต์อยู่ด้วย

ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อหมู่บ้านคําเกิ้ม ผมตั้งคําถามกับตัวเองว่ามีหมู่บ้านนี้ด้วยหรือ และสงสัยว่าชุมชนชาวคริสต์มีวิถีชีวิตแบบไหน

ผมสงสัยได้ไม่นานก็มีโอกาสเดินทางไปบ้านคําเกิ้มเพื่อหาคําตอบของข้อสงสัย บ้านคําเกิ้มอยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เวลานั่งรถไม่นาน สิ่งที่ทําให้ผมอึ้งเป็นอย่างแรกคือสภาพแวดล้อมของชุมชน ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลมาก แต่สภาพแวดล้อมกลับเต็มไปด้วยธรรมชาติ ทําให้ผมประทับใจและประหลาดใจไปในเวลาเดียวกัน เพลิดเพลินกับธรรมชาติไม่นาน รถก็ขับมาจอดที่วัดนักบุญยอแซฟ บ้านคําเกิ้ม

ตั้งแต่ผมก้าวเท้าลงมาจากรถ สิ่งแรกที่ผมเห็นคือโบสถ์คริสต์สองหลังที่ตั้งอยู่ข้างกัน ทั้งหลังเก่าและหลังที่เพิ่งสร้างใหม่
โบสถ์หลังเก่าสร้างมานานกว่า 115 ปีแล้ว แต่ยังคงความงดงามในแบบของตัวเองอยู่ นี่สินะความงดงามที่เป็นอมตะ ขณะที่ผมกําลังชื่นชมโบสถ์อยู่นั้น สายตาผมก็ไปสะดุดกับสนามหญ้าเล็ก ๆ ที่มีประตูฟุตบอลเก่าหนึ่งอันตั้งอยู่

“นี่โบสถ์นะ เขาเล่นกีฬาในนี้ด้วยหรือ ไม่ส่งเสียงดังรบกวนบาทหลวงหรือไง” ผมคิดกับตัวเอง จนได้รับคําตอบจากจริยา แก้วอาสา หรือผู้ใหญ่ต๋อง ผู้ใหญ่บ้านบ้านคําเกิ้ม

ผู้ใหญ่ต๋องให้ข้อมูลว่าโบสถ์ที่นี่เปิดให้คนในชุมชนเข้ามาใช้พื้นที่โบสถ์ได้ แต่ถ้าจะใช้จัดงานพิธีต่าง ๆ ต้องขออนุญาตก่อน
หลังคุยกันไม่นาน ผู้ใหญ่ต๋องพาผมเข้าไปสัมภาษณ์คนในชุมชนบ้านคําเกิ้ม เพื่อให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ ผู้ใหญ่บ้านเดินนําผมไปหาคุณลุงที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกับโบสถ์ คุณลุงเล่าถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีความเกี่ยวพันกับโบสถ์คําเกิ้ม ทั้งเรื่องความเชื่อความศรัทธา ไปจนถึงการชี้นําแนวทางการใช้ชีวิตของคนในชุมชนจากบาทหลวงอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น คุณลุงยังเล่าถึงไก่งวงซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของชุมชนบ้านคําเกิ้ม พูดแล้วคุณลุงก็เดินนําผมไปดูเล้าไก่งวง พร้อมอธิบายวิธีการขายและช่วงอายุของไก่ที่จะขายได้ราคาดีหรืออายุเท่าไหร่เนื้อจึงจะอร่อย ตอนที่คุณลุงอธิบายให้ผมฟัง สีหน้าคุณลุงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและมีความสุข

“การเลี้ยงไก่งวงคงเป็นอะไรที่สนุกมากแน่เลย” ผมคิดในใจ

พอคุยกับคุณลุงจบ ผู้ใหญ่ต๋องก็พาผมไปบ้านอีกหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้ยกสูง หลังไม่ใหญ่มากนัก บรรยากาศโดยรอบน่าอยู่มาก ๆ มีต้มมะม่วงหนึ่งต้น มีสนามหญ้าเขียวชอุ่ม มีกลิ่นเขียวของต้นไม้ลอยอยู่ในอากาศ ชื่นชมกับบรรยากาศรอบบ้านได้ไม่นาน สายตาผมก็ไปสะดุดกับหญิงสูงวัยท่านหนึ่งบนบ้าน ท่านกําลังนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านพอดี เหมือนรู้ว่าผมจะมาสัมภาษณ์อย่างไรอย่างนั้น

ผมกับผู้ใหญ่บ้านขึ้นไปหาคุณยาย คุณยายเล่าถึงชีวิตสมัยเด็กของคุณยายและความสัมพันธ์ในชุมชนกับโบสถ์ คุณยายเล่าว่าสมัยนั้นคุณยายและเพื่อนในชุมชนเป็นเด็กที่ขยันกันมาก ๆ ผู้ใหญ่บ้านเสริมขึ้นมาว่า สมัยก่อน เด็ก ๆ จะดีใจมากถ้าได้ไปบวชเรียน และคุณยายก็เสริมขึ้นมาว่าคนที่ได้บวชเรียนจะเป็นคนที่เก่งมาก ๆ ซึ่งก็สมกับเวลาที่ต้องเรียนด้วย เพราะการบวชเรียนต้องใช้เวลานาน เด็กสมัยนี้จึงไม่ค่อยอยากบวชเรียนกันมากนัก จากที่แต่ก่อนมีคนบวชเรียน 100 กว่าคน แต่สมัยนี้มีไม่ถึง 50 คนแล้ว

“แล้วคุณยายคิดว่าเยาวชนชุมชนบ้านคําเกิ้มรุ่นใหม่ ๆ จะยังนับถือศาสนาคริสต์ต่อไปไหมครับ” ผมถามคุณยายหลังจากที่คุณยายพูดเรื่องการบวชเรียนเสร็จ

“มันก็ยังมีแหละ แต่อาจจะน้อยลงกว่าเมื่อก่อน แต่ความเป็นชาวคริสต์ในตัวของคนในชุมชนบ้านคําเกิ้มจะยังอยู่ต่อไป” คุณยายตอบ

นี่คือประโยคที่อาจไม่ได้พิเศษ แต่ทําให้ผมสัมผัสถึงความศรัทธาของคนในชุมชนบ้านคําเกิ้ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ต๋อง คุณลุง และคุณยาย ที่ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ แต่ความยึดมั่นในหลักคําสอนและความศรัทธาของพวกเขาจะยังอยู่กับพวกเขาตั้งแต่เกิดจนหมดลมหายใจ

ผมขอตัวลาคุณยายเพราะนั่งคุยกับคุณยายนานมากแล้ว หากคุยนานกว่านี้คงเป็นการรบกวนเวลาของคุณยายแน่นอน ผมเกรงใจคุณยายด้วย จึงไม่แยกให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ จากการสังเกตของผมตลอดการสัมภาษณ์ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงช่วงเย็น สิ่งที่เห็นชัดเจนของชุมชนบ้านคําเกิ้มคือทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขกับวิถีชีวิตของตนเอง และที่สําคัญที่สุด คนในชุมชนบ้านคําเก้มแสดงให้เห็นถึงความยึดมั่นในศาสนาที่ตนรัก ถึงแม้จะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่บีบบังคับให้เขาต้องละทิ้งศาสนาที่พวกเขานับถือมากเพียงใด

การมาชุมชนครั้งนี้ผมได้อะไรหลายอย่างกลับไปมากมาย ทั้งหลักคําสอนที่ให้รักตนเองและคนรอบข้าง ความเป็นมิตรของผู้คนในชุมชนที่พร้อมเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ได้สัมผัสกับธรรมชาติและเห็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม การมาที่คําเกิ้มครั้งนี้ทําให้ผมได้รู้ว่าถึงแม้คนในชุมชนจะเปลี่ยนรุ่นไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่จะยังคงอยู่คือความศรัทธาในศาสนาของพวกเขา


ผู้เขียน: นายพัฒนากร เสียงสนั่น โรงเรียนเรณูนครวิทยานุกูล
ผลงานจากการอบรมเชิงปฏิบัติการทักษะการผลิตเรื่องเล่าสำหรับเยาวชน โครงการเล่าเรื่องแม่น้ำโขง เฟส 2
Mekong Storytelling Phase II: Empowering Young Local Storytellers

Message us