1

เมฆลอยต่ำเหมือนจ่ออยู่บนยอดภูเขา ต้นไม้ขึ้นเขียวครึ้มบนเนินตัดสลับกับฟ้าสีเทา ใต้เนินนั้นเป็นผืนน้ำสีน้ำตาลเข้ม ไหลเอื่อย เฉื่อยชา แต่ไม่ได้ดูน่าปลอดภัย สำหรับคนที่เพิ่งเห็นฉากนี้ครั้งแรกก็คงตื่นตาตื่นใจ แต่สำหรับแดง นี่เป็นวันธรรมดาสามัญของเขา ชีวิตริมแม่น้ำโขงดำเนินมาแบบนี้วันแล้ววันเล่า เขาไม่ชอบมันเท่าไรนัก

วันนี้ลมแรงกว่าทุกวัน แต่แดดก็ยังส่องแรงกล้าไม่หยุดพัก เกือบเที่ยงวันแล้วแต่แดงยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เขาเพิ่งกลับจากการทอดมองไปตามลำน้ำโขง ใช้เวลาล่องเรือกว่าครึ่งชั่วโมง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความว่างเปล่า วันนี้เขายังจับปลาไม่ได้สักตัวแม้จะเริ่มทำงานตั้งแต่เช้า หลังเก็บตาข่ายมองไว้บนเรือ ดับเครื่องเข้าจอดข้างกระท่อมริมน้ำ แดงเดินเท้าเปล่าเข้ามาในแพไม้อย่างคล่องแคล่ว เอนตัวลงบนเปลที่เขาใช้เป็นที่พักพิงยามเหนื่อยล้าไม่ต่ำกว่าพันครั้ง นั่งมองกระดิ่งที่ทำจากขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลังหมุนตามลมอย่างเฉยชา แดงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเปิดดูคลิปรายการตลกในอินเทอร์เน็ต พักสักหน่อยคงไม่เป็นไร เขาคิด 

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้ แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะเคลิ้มหลับก็มีเสียงตะโกนดังมาจากข้างบนทางลงตลิ่ง 

“สวัสดีครับ มีใครอยู่มั้ยครับ” เสียงพูดสำเนียงภาคกลางดังกลางหมู่บ้านในภาคเหนือแบบนี้ ต้องเป็นคนต่างถิ่นแน่ๆ แดงขี้เกียจเสวนาพาทีด้วย เพราะที่ผ่านมาชอบมีคนเมืองเข้ามาศึกษาพื้นที่ริมโขงบ่อยครั้ง เขาขี้เกียจตอบคำถาม คิดได้ดังนั้นเลยปิดเสียงโทรศัพท์เงียบ นอนมองแม่น้ำไหลเอื่อยไปเรื่อยๆ แต่คนข้างบนยังไม่หมดความพยายาม 

“สวัสดีครับ มีใครอยู่มั้ยครับ” เสียงพูดดังใกล้เข้ามา พร้อมๆ กับเสียงรองเท้าเหยียบดินดังสวบสวบเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แดงเห็นว่าคงห้ามไม่ได้แล้ว เลยตะโกนไปว่า “ไม่มีคนอยู่ครับ” 

จังหวะนั้นเองที่แดงคิดขึ้นมาได้ว่า เขาพลาดไปแล้ว ถ้าไม่มีคนอยู่ แล้วจะมีคนตะโกนตอบได้ยังไงเล่า เขาอยากเขกกบาลตัวเอง รองเท้าผ้าใบสองคู่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา เขามองเห็นผ่านผ้าใบที่คลุมกระท่อมอยู่ จนในที่สุดหนุ่มสาวสองคนก็ไต่ทางเดินไม้ไผ่เรียวเล็กเข้ามาถึงกระท่อมของเขาจนได้ 

“สวัสดีครับ ผมมาหาพี่ดำครับ” คนแปลกหน้าพูดขณะก้มหัวเพื่อไม่ให้หัวชนหลังคา เขาเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็ก ผิวคล้ำ มีหนวดแพะใต้คาง และมีรอยยิ้มเป็นมิตร   

“พี่ดำไม่อยู่ มีแต่แดง” แดงพูดเสียงเรียบ 

“อ๋อ งั้นคุยกับพี่ก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มว่า ข้างหลังเด็กหนุ่มเป็นผู้หญิงผมสั้น ตัวผอม ผิวขาว มีแววตาง่วงนอนและเกียจคร้าน เดินตามเข้ามา 

“พี่ดำน่าจะไปใส่มองอยู่ เดี๋ยวก็คงมา” แดงบอก “นั่งเล่นตรงนี้ก็ได้นะ” 

หนุ่มสาวทั้งคู่นั่งลงบนพื้นกระท่อม เกาะราวไม้ไผ่มองแม่น้ำ แนะนำตัวว่ากำลังทำประเด็นเรื่องแม่น้ำโขง ก่อนจะซักไซ้ถามชีวิตความเป็นอยู่ของแดง พี่ทำอะไร วันนี้หาปลาได้กี่ตัว ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนตรงต้นน้ำมั้ย มีรายได้จากอะไรบ้าง ได้ข่าวว่ามีการระเบิดแก่งเพื่อให้เรือสินค้าผ่านได้ด้วย พี่ได้รับผลกระทบอะไรบ้างมั้ย พี่พูดกลางชัดจัง เคยไปอยู่กรุงเทพฯ เหรอ ฯลฯ 

แดงตอบไปตามความจริงว่าน้ำขึ้นลงไม่ตรงตามฤดูกาลมานานแล้ว เพราะเขื่อนตรงต้นน้ำกำหนดปริมาณน้ำมาตั้งแต่ต้นทาง จากที่เคยมองเห็นนกมาวางไข่ในหน้าแล้ง กับได้ปลาตัวใหญ่ในฤดูน้ำหลาก ตอนนี้กลายเป็นทุกอย่างพลิกผันไปหมด อันที่จริงแดงรู้ว่าสิ่งนี้เป็นปัญหา แต่ตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าพยายามหาปลาให้บ่อยขึ้น และทำไร่ทำนาเพื่อหากินทางอื่นด้วย 

ระหว่างที่คุยกัน พวกเขาต้องหยุดพูดเพราะมีเรือสินค้าขนาดใหญ่ล่องมาตามลำโขงขัดจังหวะ แสงแดดต้องน้ำระยิบระยับทำให้เรือคล้ายลอยมาจากอาณาจักรไกลโพ้น ดูผิดที่ผิดทางและแปลกถิ่น ถ้ามองด้วยสายตา เรือสูงเท่าบ้านหนึ่งชั้น กินพื้นที่ท้องน้ำจนดูอึดอัด แหวกผ่านสายน้ำให้แตกเป็นทางเหมือนรถตัดหญ้า บทสนทนาหยุดนิ่ง รอให้เรือลำนั้นผ่านพ้นไป เสียงเครื่องยนต์ดังกลบทุกสรรพสิ่ง ไม่แน่ใจว่าปลาที่ลอยใต้ท้องน้ำจะรู้สึกอย่างไร ความรู้สึกคงคล้ายแผ่นดินไหวกระมัง

“เพราะแบบนี้แหละ เขาเลยต้องระเบิดแก่ง ไม่งั้นเรือผ่านไปไม่ได้” แดงเล่าให้คนแปลกหน้าฟังหลังเรือแล่นผ่านไปแล้ว 

“พี่พาพวกผมล่องเรือได้มั้ย” เด็กหนุ่มเคราแพะถาม แดงนิ่งคิดสักครู่ พาไปวนเรือสักรอบก็คงไม่เป็นไร อย่างไรเขาก็ต้องออกหาปลาอีกรอบอยู่แล้ว หลังจากปล่อยให้เป็นคิวคนอื่นลงทอดมองไปก่อนแล้ว 

แดงพยักหน้า แล้วลุกขึ้นยืน “เก็บกระเป๋าไว้กับตัวดีๆ นะ” แดงบอกก่อนเดินนำไปที่เรือ เขาเดินไปนั่งตรงที่คนขับเหมือนเดินบนพื้นดินราบเรียบ ขณะที่อีกสองคนเดินตามมาอย่างโยกเยก พยายามกางแขนเพื่อทรงตัวไม่ให้ตกเรือ 

“ว่ายน้ำเป็นใช่มั้ย” แดงถามทั้งคู่ พวกเขาตอบพร้อมกันว่า “เป็นครับ/ค่ะ”

แดงรู้ว่าพวกเขาโกหก แต่ก็ยังออกเรือ

เรือท้องแบนค่อยๆ แล่นออกไปสู่ลำน้ำโขงกว้างใหญ่ แดงค่อยๆ ดึงเอาตาข่ายมองยาวหลายเมตรออกมาจับไว้ แล้วทอดลงไปในน้ำ แผ่กว้างเป็นกำแพงตาข่ายขนาดใหญ่เพื่อให้ปลามาติดกับ เมื่อได้จังหวะลงตัว แดงยืนขึ้น ปล่อยมองไหลไปตามทาง ขณะที่เรือก็แล่นไปเรื่อยๆ กินระยะทางกว่าสิบเมตร แดงไผลคิดไปถึงตอนหัดทอดมองใหม่ๆ ที่ต้องยืนบนเรือขณะปล่อยตาข่ายไปด้วย เขาเคยสะดุดตาข่ายเกือบตกเรือหลายครั้ง แต่พอทำมาเป็นครั้งที่ร้อย เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องเรียบง่ายสามัญเหมือนตักข้าวเข้าปาก หนุ่มสาวสองคนตื่นเต้นกับการลงเรือมาก ควักโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายคลิปวิดีโอตลอดทาง จนแดงต้องเตือนว่าระวังโทรศัพท์หล่นน้ำ เรือแล่นไปเรื่อยๆ จนถึงหัวโค้งเวิ้งใหญ่ แดงหยุดทอดมองแล้วหันมาบังคับเรือ

“เราไม่ไปตรงนั้นแล้ว” แดงว่า พร้อมหันหัวเรือกลับ

“ทำไมล่ะพี่” คนแปลกหน้าถามขึ้นพร้อมกัน

“น้องเห็นน้ำวนตรงนั้นไหม” แดงพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางน้ำวนขนาดใหญ่ตรงหัวโค้ง มันหมุนแรงเหมือนหลุมดำที่พร้อมดูดกลืนทุกสิ่งเข้าไป “มันอันตราย” 

ยังไม่ทันขาดคำ จู่ๆ เมฆสีเทาที่ลอยต่ำก็กลั่นตัวกลายเป็นฝนกระหน่ำ แดดที่เคยร้อนแรงแผดเผากลายเป็นมวลอากาศเย็นปกคลุมทั่วผืนน้ำ ลมพัดแรงจนเรือสั่นบังคับทิศทางไม่ได้ แดงรีบนั่งลงบนเรือเพื่อปรับสมดุล แต่ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะสายไปเสียแล้ว เรือเสียการควบคุมจนไหลเข้าไปในน้ำวนตรงหัวโค้งนั้น ทั้งสามชีวิตที่อยู่บนเรือร้องเสียงหลง ยิ่งใกล้น้ำวนเท่าไหร่ ยิ่งดูเหมือนหลุมอ้าปากกว้างขึ้นเท่านั้น เรือหมุนรอบตรงปากหลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะถูกดึงเข้าไปในหลุมอย่างราบรื่นนุ่มนวล เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ แดดกลับมาใสกระจ่าง ฟ้าเปลี่ยนจากสีเทาเป็นฟ้าสีสด น้ำยังไหลเอื่อยเฉื่อยชา และน้ำวนตรงนั้นหายไปเหมือนไม่เคยมีบนโลกนี้มาก่อน 

ทุกอย่างเงียบสงัด แม้แต่พระเจ้ายังต้องกลั้นหายใจ

2

เมฆลอยต่ำเหมือนจ่ออยู่บนยอดภูเขา ต้นไม้ขึ้นเขียวครึ้มบนเนินตัดสลับกับฟ้าสีเทา ใต้เนินนั้นเป็นผืนน้ำสีน้ำตาลเข้ม ไหลเอื่อย เฉื่อยชา แต่ไม่ได้ดูน่าปลอดภัย สำหรับคนที่เพิ่งเห็นฉากนี้ครั้งแรกก็คงตื่นตาตื่นใจ แต่สำหรับแดง นี่เป็นวันธรรมดาสามัญของเขา ชีวิตริมแม่น้ำโขงดำเนินมาแบบนี้วันแล้ววันเล่า เขาไม่ชอบมันเท่าไรนัก

“สวัสดีครับ มีใครอยู่มั้ยครับ” เสียงคนร้องเรียกดังมาจากบนตลิ่ง แดงถอนหายใจ ต้องกลับไปสู่น้ำวนอีกสักกี่รอบ เขาคิด


ผู้เขียน: ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย The101.World
ผลงานจากการปฏิบัติงานในโครงการเล่าเรื่องแม่น้ำโขง Mekong Storytelling
Storytelling to Highlight Impacts of Direct Foreign Investment along Mekong River